เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาเทศน์เรื่องสวดพระอภิธรรม ว่าพระอภิธรรมนี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์โปรดโยมมารดาบนสวรรค์ พวกเทวดาก็เลยรักษาพระอภิธรรมนี้ไว้ เวลามาสวดศพ เวลาสวดนี่เทวดาเขาต้องลงมาฟังด้วย แล้วเขาจะมาเอาวิญญาณผู้ที่ตายขึ้นไปบนสวรรค์ เขาว่าอย่างนั้นนะ เอาวิญญาณผู้ตายขึ้นสวรรค์

ไอ้นี่ถ้ามันค้านมันก็ค้านตรงนี้ ค้านอย่างนั้นแล้วกรรมล่ะ? กรรมมันก็ไม่มีผลสิ ทำกรรมดีต้องได้กรรมดี ทำกรรมชั่วต้องได้กรรมชั่ว ความกรรมดีอย่างนั้น ถ้าสวดอภิธรรมทุกศพ ทุกศพมันก็ต้องขึ้นสวรรค์หมด กรรมดีกรรมชั่วมันอยู่ที่นั่น

แต่การสวดพระอภิธรรมนี่มันแบบว่ามันเป็นธรรมะสุดยอด พระอภิธรรม เห็นไหม กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำดีทำชั่ว การทำดีทำชั่วมา แล้วก็แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป แยกไปเรื่อย ในนั้นนะ เรื่องฌาน เรื่องสมาบัติ เรื่องทุกอย่าง เห็นไหม ถ้าใครฟังไปตรงนั้น นั่นน่ะสุดยอดของการปฏิบัติ มันสุดยอดของการปฏิบัตินะ พอปฏิบัติแล้วมันจะแยกออกไปเป็นอย่างนั้นนะ เป็นฌานเป็นอะไร

เหตุปจฺจโย เหตุ เห็นไหม อารมฺมณปจฺจโย อารมณ์เป็นเหตุ เห็นไหม ทุกอย่างเป็นเหตุ เหตุปจฺจโย นั่นเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัย เรื่องของอารมณ์มันหมุนไป นี่มันหมุนออกไป ถ้ามันฟังออกแล้วมันแปลออก มันจะเป็นอย่างนั้น นี่มันถึงว่าเป็นสุดยอด เพราะว่าถ้าปฏิบัติแล้วมันจะเป็นแบบนั้น

ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ว่าอย่างกับ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เห็นไหม สังขารนี่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง สังขารนี่เป็นที่ผูกพันอย่างยิ่ง แต่ถ้าพ้นจากสังขารนี้ไป นี่ไง ถ้าพูดถึงในทำการประพฤติปฏิบัติแล้ว มันได้เหมือนพระอภิธรรมอย่างนั้น มันก็เรื่องเท่ากับปลดเปลื้องกิเลสออกไป มันปลดเปลื้องกิเลสออกไป

คือว่าเวลาเขาสวด เขาสวดให้คนเป็นฟัง คนตายไม่ได้สวดให้ฟังหรอก แต่เมื่อคืนเขาบอกว่าเขาสวดให้คนตายฟัง สวดให้เทวดาฟัง คนเป็นนั่งฟังเฉยๆ คนเป็นไม่รู้เรื่องหรอก ไม่ต้องรู้เรื่อง เพราะว่าเขาสวดกันอย่างนั้น เออ.. ฟังความเห็นของพระมันก็แตกต่างกันไป แตกต่างกันไปมาก

ถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็อย่างที่ว่า ถ้าการปฏิบัตินะ เวลาสวดอย่างนี้ทุกศพต้องขึ้นสวรรค์หมด ทุกศพต้องเป็นไปตามการทำบุญกุศลครั้งนี้ ทำบุญกุศลครั้งนี้มันเป็นบุญกุศลสุดยอด เวลาสวดศพเฉพาะเป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้นเพราะสวดศพ เห็นไหม การสวดศพถึงว่า เวลามันเอาเรื่องเอาอภิธรรมมาสวด อย่างอื่นไม่มีศพเขาก็ไม่สวดเรื่องอภิธรรมกัน ยกเว้นแต่ทำวัตร สวดซ้อมอยู่ในวัด อันนั้นเป็นการสวดซ้อมกัน

นี่มันเป็นการแจงให้เราฟังไง แจงเรื่องธาตุเรื่องปัจจัยให้เราฟัง แล้วเราเข้าใจ คนเป็นต่างหากฟังแล้วได้ประโยชน์ คนตายตายไปแล้วไม่มีโอกาสนะ ถ้าคนตายตายไปแล้วมีโอกาส เห็นไหม พระพุทธเจ้าไปสอนอาฬารดาบส เห็นไหม ตอนที่ว่าท่านตรัสรู้ใหม่ๆ ควรจะสอนใคร? ควรจะสอนอาจารย์ของตัวเองก่อน ถ้าสอนอาจารย์ของตัวเองก่อน อาจารย์ของตัวเองตายไปเสียแล้ว เห็นไหม อย่างนี้สอนไม่ได้ แต่ทำไมเทวดามาฟังธรรมได้ล่ะ? เทวดามาฟังธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไป แบบว่ารู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าไป ทำไมพวกเทวดาพวกนั้นมาฟังธรรมแล้วตรัสรู้ไป? มันคนละสถานะ

อาฬารดาบส อุทกดาบส นี่มันเป็นพราหมณ์ เห็นไหม ตอนที่ยังไม่ตายเป็นพราหมณ์ เวลาตายไปก็คือเกิดเป็นพรหม เป็นพรหมมันก็อีกสถานะหนึ่งแล้ว มันไม่ใช่คนเก่า มันเป็นคนใหม่แล้ว มันสถานะใหม่ วัฏฏะมันเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นดวงอันเดียวกัน จิตนี้ไม่เคยตาย แต่เวลาเปลี่ยนสถานะมันเปลี่ยนสถานะไปเรื่อย เปลี่ยนสถานะไปเรื่อย..

เปลี่ยนสถานะไปเรื่อยเขาได้สถานะใหม่ ความคิดก็เป็นความคิดใหม่ เป็นคนๆ ใหม่ เป็นภพชาติใหม่ แต่จิตดวงเก่านั้นเปลี่ยนสถานะๆ นั้น เขาถึงว่าไม่ได้ตามไปสอนไง เพราะว่าสถานะนั้นก็ต้องไปฟื้นความหลัง ไปฟื้นความจำ ไปฟื้นว่าแต่ชาติอดีตเคยมีความสัมพันธ์กันมา เป็นครูเป็นอาจารย์กันมา

แต่ถ้าเป็นครูเป็นอาจารย์กันมา มันจะมีความผูกพัน มันจะยอมฟังไง มันจะเปิดใจ ถ้าคนเปิดใจ เหมือนกับถ้าไม่เคยเป็นครูเป็นอาจารย์กันมา มันจะไม่เปิดใจนะ มันจะฟังแล้วมันขัดหูขัดใจ มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเคยเป็นครูเป็นอาจารย์กันมา มันจะฟังแล้วมันจะเชื่อ มันจะความลงใจ

มันถึงว่าจริตนิสัย การสะสมมาของอดีตชาติมันสำคัญ สำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงที่ว่าฟังแล้วมันมีเหตุกระทบให้ใจให้เราคิดตาม ถ้าไม่มีเหตุกระทบใจขึ้นมา มันฟังแล้วมันก็ฟังเฉยๆ ฟังแล้วผ่านหูไป ฟังแล้วไม่ผ่านหูไปนี่เป็นอันหนึ่ง ฟังแล้วค้านนี่เป็นอีกอันหนึ่งนะ ค้านเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปตามอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันขัดกับความรู้สึกของตัวเอง

นี่มันค้าน กรรมมันก็ปิดรอน เห็นไหม มันตัดรอนความประโยชน์ของตัวเราเอง ถ้ามันไม่ตัดรอนประโยชน์ตัวเราเอง เราจะได้ประโยชน์อันนี้ ประโยชน์อันที่ว่าธรรมนี้เป็นประโยชน์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้องนะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม มันก็พากันตกทะเลไปหมด หัวหน้าโคที่ฉลาดจะพาโคนั้นเข้าหาฝั่งได้ ถ้าหัวหน้าโคนั้นไม่ฉลาด จะพาฝูงของโคไปไม่ได้เลย

นี่สัปปายะ ๔ สัปปายะ ๔ เห็นไหม อาหารสัปปายะ หมู่คณะสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ แล้วครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะนี่สำคัญที่สุด ถ้าครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ นี่ครูบาอาจารย์ชี้ถูกต้อง มันจะพากันไปถูกต้อง ถ้าครูบาอาจารย์ชี้ไม่ถูกต้อง มันก็พากันไม่ถูกต้อง โคฉลาดหรือโคไม่ฉลาด

แล้ววัฏวนเหมือนกับวังน้ำวน เห็นไหม วังน้ำวนอยู่อย่างนี้ แล้วชีวิตเราก็หมุนไป ว่ายเข้าฝั่ง พยายามจะว่ายเข้าฝั่งกัน ถ้าถึงฝั่งมันก็เป็นประโยชน์ไป ถ้าไม่ถึงฝั่งเราก็ต้องเป็นอาหารของสัตว์น้ำไป ถ้าเป็นอาหารของสัตว์น้ำไปมันก็ต้องเสวยชาติใหม่ ต้องหมุนเวียนไป ความหมุนเวียนไปเพราะสัปปายะของเราไม่ถูกต้อง

ถ้าสัปปายะของเราถูกต้อง เราจะหาครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์นี่สำคัญ สำคัญที่ว่าครูบาอาจารย์ไปถึงขนาดไหน ถ้าครูบาอาจารย์ เห็นไหม ถึงว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนทำตนเขาเองได้ก่อนแล้วมีความสุขก่อน แล้วมีความเข้าใจก่อน ถึงจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ถ้าตนเป็นที่พึ่งของตนไม่ได้ ตนก็ลังเลสงสัย ก็สอนไปด้วยความลังเลสงสัย หลวงปู่มั่นพูดในมุตโตทัยข้อแรกเลย

“ทองคำในร้าน ทองคำที่เขาหลอมแล้วอย่างหนึ่ง ทองคำในเหมืองในแผ่นดินนั้นอย่างหนึ่ง เพราะทองคำในเหมืองนั้น ในแผ่นดินนั้นมันเลอะ มันปนเปื้อนไปด้วยธุลี ปนเปื้อนไปด้วยดิน”

นี่ก็เหมือนกัน มันปนเปื้อนไปด้วยความคิดของเรา เห็นไหม ถ้ามันปนเปื้อนด้วยความคิดของเรา สัจธรรม สัจธรรมนี่มันเหนือโลก มันเอาความคิดของเราเข้าไปเทียบไม่ได้ ถ้าเอาความคิดของเราเข้าไปเทียบ มันเป็นการคาดการหมาย ถ้าการคาดการหมายจะเป็นความจริงไปไม่ได้ นี่มัชฌิมาปฏิปทามันอยู่ตรงนี้

แล้วพวกเราถึงว่าเป็นกลาง มันกลางหยาบๆ ไง กลางความเห็นของเรา เป็นกลางคือว่าถ้าอันนี้เป็นลำบากเกินไปมันก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าอันนี้มันสะดวกเกินไป มันก็จมอยู่ในกามคุณ

ถ้าพูดถึงถ้าความเห็นของเราถูกต้อง ความเห็นของเราว่าอย่างนี้เป็นพอดีของเรา นี่มัชฌิมาของใครของมัน ไม่จำเป็น จริตนิสัยของคนมันต่างกัน มัชฌิมาปฏิปทานี่มัชฌิมาปฏิปทาหยาบๆ แต่มัชฌิมาอย่างกลางขึ้นไป การประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าพูดถึงมัชฌิมาของเรา เราก็ไม่อยากนั่งนาน เห็นไหม นั่งนานแล้วขอเป็นสมาธิไวๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่มัชฌิมาเพราะมันไม่พอดี

ถ้าทำความสงบของใจ มัชฌิมามันจะไม่มัชฌิมา มัชฌิมาคือความลงตัว ความลงตัว เห็นไหม บางทีมันลงตัว นั่งมากนั่งน้อยไม่สำคัญ ความลงตัวของมัน มันจะลงพอดี แล้วมัชฌิมาในภาวนามยปัญญา เห็นไหม ปัญญามันคมกล้าเกินไป มันแก่กล้าเกินไป มันก็ฟั่นเฝือไป ถ้าปัญญามันหมุนไปนะ ต้องกลับให้สมาธิสมดุล ถ้าสมาธิสมดุล พอสมาธิมันเข้มขึ้นไป สิ่งนี้มันไม่ก้าวเดิน มันใส มันมีความผ่องใสอยู่อย่างนั้น นั่นน่ะสมาธิ

แต่ถ้ามันใช้ปัญญาเข้าไป มันก็ฟั่นเฝือ นี่มัชฌิมาปฏิปทามันอยู่ตรงนั้น เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทาที่ว่าแล้วแต่จริตนิสัยหนึ่ง แล้วมัชฌิมาปฏิปทาตามความเป็นจริงหนึ่ง ธรรมเหนือโลกเหนือโลกอย่างนั้น เราเอาความเห็นของเราไปเทียบไม่ได้หรอก เราเอาหลักการอะไรไปจับที่ว่าต้องมีหลักการ ต้องมีประเด็นอย่างนี้ มันไปจับ

ประเด็นมันส่วนประเด็นสิ ประเด็นของใคร ประเด็นของกิเลสก็ได้ ประเด็นของความเห็นของเราก็ได้ เรามีความเห็นของเราอยู่แล้ว เราก็จับประเด็นไม่ได้ ถ้าจับประเด็นได้มันการคาดการหมาย เห็นไหม มันละเอียดเข้าไป แล้วว่ามันเป็นขั้นตอนนะ หมายถึงว่ามันพัฒนาของมันเองได้ จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันพัฒนาของมันขึ้นไปได้

ถ้ามันพัฒนาขึ้นไปได้ ประเด็นมันจะละเอียดไปเรื่อยๆๆๆ ขึ้นไป เราจับประเด็นนั้นไม่ได้ ถ้าเราตามประเด็นนั้นไม่เจอ เราก็จับประเด็นของเราไม่ได้เอง ถ้าคนฟัง คนเข้าใจ คนมีหลักการ คนที่ปฏิบัติแล้ว มันจะมีขั้นตอนของมันนะ อ้อ.. ถึงตรงนี้ปั๊บ เพราะใจเราสงบขึ้นมา เราก็ฟังได้เรื่องของสมาธิ

ถ้าเรื่องของสมาธิเราจะเข้าใจ แต่เรื่องของวิปัสสนาเราไม่เข้าใจเลย พอเริ่มวิปัสสนาขั้นหนึ่ง เห็นไหม พอจับขั้นหนึ่งให้ได้ พอขั้นหนึ่งขึ้นมา มันผ่านไม่ผ่าน ถ้ามันผ่าน แล้วขั้น ๒ เป็นอย่างไร นี่มันอยู่ที่ภูมิจิตภูมิธรรมของใจ ถ้าภูมิจิตภูมิธรรมของใจนี้มันพัฒนาขึ้นมา มันรู้วาระของมัน ความลังเลสงสัยของมัน ความข้องใจของมัน มันจะฟังแต่ประโยชน์ของมันไง

ประโยชน์ของมันคือว่าใจมันข้องอยู่ตรงไหนมันก็ฟังตรงนั้น ถึงตรงนี้เป็นถึงวาระของเราแล้ว ครูบาอาจารย์เทศน์มาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา ถึงตรงนี้เป็นของเรา พอเลยตรงนี้ไป เราก็ไม่รู้แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องเหนือโลกไง ความเหนือโลกของมัน ความเหนือโลกของใจที่มันพัฒนาขึ้นมา มันจะพ้นออกไปจากความที่ว่ามันเป็นประเด็น เป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค เห็นไหม เป็นอัตตาด้วย เป็นอัตตกิลมถานุโยคด้วย มันเป็นความยึดของมันในหัวใจ แล้วจะตีให้แตกได้อย่างไร?

เราจะต้องตีตัวนี้แตก เห็นไหม ตีแตกด้วยมรรคสามัคคี ด้วยมรรคญาณ มรรคญาณมันทำลายตัวมันเอง นี่วิปัสสนามันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ทำลายตัวเอง ถ้าทำลายตัวเองแล้วมันก็เข้าใจเรื่องอย่างนั้น เรื่องที่ว่าจิตนี้ไปเกิดอย่างไร มันจะพาไปอย่างไร

ฟังอภิธรรมแล้วนี่ มันพูดถึงว่าเทวดาลงมาฟังอภิธรรม แล้วจะมาชักจิตดวงวิญญาณนั้นขึ้นไปด้วยอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีอำนาจพอไง ความที่ไม่มีอำนาจพอ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่อำนาจเหนือกรรม ถ้าเขาทำกรรมชั่วของเขาไว้ เขาตายปั๊บ เขาต้องไปสภาวะของเขา ไปตามสภาวะของกรรมที่มันพาไป กรรมมันผลักไปปั๊บมันก็เป็นสภาวะอย่างนั้น

ถ้าสภาวะของเราล่ะ สภาวะของบุญ ถ้ามันตายแล้วมันก็ขึ้นเป็นบุญไป มันจะขึ้นเป็นบุญกุศลของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่ฟังอภิธรรมนี้มันเป็นบุญกุศลที่ว่าเราเป็นโอกาส เป็นโอกาสของคนตายนั้นแล้วฟังอภิธรรมนั้น เพื่อให้คนนั้นได้ทำบุญกุศล เออ.. บุญอยู่ตรงนี้

บุญตรงนี้เป็นอามิส เห็นไหม เป็นสิ่งที่เป็นอามิสที่เป็นของชั่วคราว มันจะถึงไม่ถึงนั้นเป็นเรื่องของเขาที่ว่ามันสร้างสมมา ถ้าสร้างสมกรรมดีมา กรรมดีให้ผลทันทีเลย ถ้ากรรมชั่วให้ผล ก็ให้ผลทันทีเหมือนกัน นั้นมันอยู่เรื่องอำนาจของกรรม แต่การที่ว่าทำสิ่งนี้แล้วมีอำนาจเหนือกรรม มีอำนาจเหนือกรรมต้องภาวนาอย่างเดียว ภาวนาถึงที่สุดแล้วมันจะปลดเปลื้องไปจากตรงนี้ อันนี้จะปลดเปลื้องไปเลย

ฟังที่ว่า อ้อ.. พระสอนอย่างนั้นเนาะ พระมีความเห็นอย่างนี้ พระสอนอย่างนี้ ถ้าพระสอนอย่างนี้ เราก็ติดกันไป นั่นน่ะหัวหน้าเป็นแบบนั้น ความเห็นของเขา ฟังแล้วมันตลกนะ ตลกมากเลย สิ่งที่มันตลกแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ มันเป็นความจริงไปไม่ได้ แต่เขาก็สาธุกันนะ โอ้โฮ.. เขาพูดกัน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)